

วันนี้แอดมินมีบทสัมภาษณ์ของคุณ “เจมส์ จิระพัชร จูพานิชย์” บุคคลที่เปลี่ยนผ่านชีวิตจากสถาปนิกสู่นักแต่งเพลงที่มุ่งมั่นอยากทำงานในวงการดนตรี บากบั่นฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายจนก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของผู้อยู่เบื้องหลังของละครเวทีรูปแบบใหม่ LUNA THE MUSICAL

จุดเริ่มต้น
การเริ่มต้นของเจมส์นั้นเริ่มต้นจากการเล่นกีตาร์ตอนมัธยมศึกษาตอนปลาย ทำวงดนตรีเหมือนนักเรียนทั่วไปมีความชอบเรื่องการร้องเพลง ไม่ได้คิดจะเป็นอาชีพมากขนาดนั้นจนเข้าสถาปัตย์ การเรียนมันหนักมากแต่ไม่แน่ใจว่าจะมีแพชชั่นกับมันจริงหรือเปล่า และดนตรีเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยเจมส์หนีจากความวุ่นวายต่าง ๆ รีบทำงานให้เสร็จจนเอามาร้องเพลง เล่นกีตาร์ จนมันกลายเป็นแพชชั่นให้จบสถาปัตย์หนึ่งใบ และกลับมาเรียนดนตรีที่เขาชอบอีกหนึ่งใบ

Back to School
ต้องเท้าความก่อนว่าแอดมินกับเจมส์นั้นเรียนกันมาตั้งแต่ประถมศึกษา เห็นพัฒนาการของกันและกันมาเสมอ โดยที่เราเองก็มองเห็นปัญหาในจุดเดียวกันมา เจมส์ได้ให้คำตอบในส่วนของปัญหาไว้น่าสนใจมากครับ
Q : หากมีการเปลี่ยนแปลงในการเรียนดนตรี โดยมีการใช้เปียโนมาเป็นพื้นฐานเบื้องต้นจะส่งผลดีไหม?
A: เราว่ามันมีผลอยู่แล้ว เหมือนตอนนั้นเราขาดโอกาสเลย เพราะเราเริ่มจากเรียนขลุ่ยตั้งสองปี และได้เรียนดนตรีน้อยมาก เหมือนความสามารถเราไม่ไปไหนเลย เราคิดว่าโรงเรียนควรจะต้องสร้างโอกาสการเรียนดนตรีให้กับเด็กๆ มากขึ้นด้วย
Q: หากมีการสอนดนตรีเป็นในรูปแบบของเกมส์ มันจะช่วยให้เด็กเข้าถึงดนตรีได้มากขึ้นไหม?
A: มันจะช่วยในกรณีที่เด็กต้องสนุก ต้องแยกก่อนนะ เด็กทำยังไงก็ได้ให้เขารักมากขึ้น และสนใจว่าเขาจะเล่นมันต่อ โดยไม่ต้องสนใจว่าเขาจะเก่งขึ้นไหม อันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

Q: ถ้าเป็นเจมส์ในวัยเด็กแล้วเรียนดนตรีรูปแบบใหม่จะทำให้เจอตัวเองเร็วขึ้นไหม?
A: ถ้าสมุมติได้กลับไปเป็นเด็ก แล้วเราเรียนหลักสูตรดนตรีที่ลึกขึ้น มันจะทำให้รู้ตัวเร็วขึ้น และก็จะรู้ว่า
เราจะไปทางไหนได้เร็วขึ้น จะได้ไม่เสียโอกาสของเวลา
“เวลาคือต้นทุนที่หลายคนไม่อาจสามารถประเมินค่าได้ เพราะเวลามีมูลค่าสูงที่สุดในชีวิต”

Q: มีอะไรอยากบอกคนที่ได้เข้ามาอ่านในบทความนี้ไหม?
A: ในฐานะที่เราเป็นคนรู้ตัวช้า อยากบอกถึงการที่ให้เด็กมีโอกาสได้เรียน หรือได้ทดลองอะไรบางอย่าง
มันเป็นการให้โอกาสที่โชคดีอย่างหนึ่งของเด็กคนนั้น เพราะเราจบดุริยางค์มาตอนอายุ 31 เราก็แบบ
ไปซ้อมกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน แล้วเรารู้สึกว่าเราตามหลังเขาตั้ง 9 ปีแหนะ (หมายถึงระยะเวลาในการทำงาน) ทำให้รู้สึกมีความกดดัน เพราะต้องวิ่งตามคนอื่นตลอด
เพราะการรู้ตัวเร็วถือเป็นข้อได้เปรียบในสนาม ยิ่งรู้ตัวเร็วยิ่งมีแรงเหลือเยอะ ง่ายที่จะไปลุยมากกว่า
การรู้ตัวช้า และการอยู่ในวงการดนตรีนั้น ไม่ได้ใช้แค่พลังใจ แต่ต้องใช้พลังกายด้วย
“การรู้ตัวเร็ว อย่างน้อยต้นทุนในเรื่องเวลามันก็ได้เปรียบคนอื่นละ”

Q: การที่ได้รู้จักดนตรีมันทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน?
A: วิธีคิดมันเปลี่ยนมากๆนะ เมื่อก่อนเราชอบเพลงที่เพราะ แต่ตอนนี้เราชอบเพลงที่มีคุณค่ากับเราแล้วเราก็อยากจะเขียนเพลงที่มีคุณค่ากับคนอื่นบ้าง ยกตัวอย่างแบบเพลงที่เราชอบคือ “เธอเก่งที่สุดในโลก
ของศิลปิน imnut” ที่ชอบเพราะมันตรงกับช่วงวัย ด้วยเนื้อเพลงและดนตรีมีคุณค่ามากๆ กับเรา เพราะเมื่อก่อนไม่ได้มองลึกขนาดนี้ มันก็แค่สิ่งบันเทิงอย่างหนึ่ง
และจริงๆ แล้วตอนมาเรียนดนตรีแรกๆ ใช้ความฝันนำ แต่พอหลังจากเรียนดนตรีจบ ถึงได้รู้ว่าความเป็นจริงอยู่ตรงไหน เราจะอยู่ในวงการนี้ยังไง ทุกอย่างมันจะจับต้องได้มากขึ้น

จบกันไปแล้วกับบทความจาก
Mastering Music #2
เจมส์ CHIRAPHAT CHUPANICH
ต้องขอบคุณที่ให้ข้อคิดและเสียสละเวลามาในการให้แนวคิด ที่เกี่ยวกับดนตรีด้วยนะครับ และสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากติดตามผลงานของคุณเจมส์ และวงดนตรีของเขาก็สามารถติดตามได้ผ่านช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย
FB: James Chiraphat
IG: jameschiraphat
BIO : JAMON BAND
จบกันไปแล้วกับบทความจาก Mastering Music #2 เจมส์ CHIRAPHAT CHUPANICH
ต้องขอบคุณที่ให้ข้อคิดและเสียสละเวลามาในการให้แนวคิด ที่เกี่ยวกับดนตรีด้วยนะครับ และสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากติดตามผลงานของคุณเจมส์ และวงดนตรีของเขาก็สามารถติดตามได้ผ่านช่องทางด้านล่างนี้ได้เลย
FB: James Chiraphat IG: jameschiraphat BIO : JAMON BAND